เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.4 ที่ประเทศเมียนมา โดยมีความลึกประมาณ 10 กิโลเมตร ซึ่งส่งผลให้แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวรู้สึกได้ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเกิดความเสียหายต่ออาคารและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ หนึ่งในเหตุการณ์ที่สะเทือนใจคือการถล่มของอาคารที่กำลังก่อสร้างในพื้นที่จตุจักร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงและความสำคัญของ การออกแบบอาคาร ให้สามารถรับมือกับแผ่นดินไหวได้

บทความนี้ เราจะพูดถึงวิธีการออกแบบและก่อสร้างอาคารให้ปลอดภัยจากแผ่นดินไหว โดยการเลือกวัสดุก่อสร้างที่เหมาะสม การออกแบบโครงสร้างที่ทนทานต่อแรงสั่นสะเทือน และการติดตั้งระบบป้องกันความเสียหายจากแผ่นดินไหว ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัยในการก่อสร้างอาคารในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว

โครงสร้างอาคารสำคัญอย่างไร ?

อาจมีคำถามว่า ทำไมต้องให้ความสำคัญกับโครงสร้างอาคารมากขนาดนี้ ? ในเมื่ออาคารส่วนใหญ่สามารถใช้งานได้เป็นร้อยปีอยู่แล้ว ? คำตอบคือ เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำคัญของการออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคารที่แข็งแรง และสามารถทนทานต่อแรงแผ่นดินไหวได้อย่างแท้จริง

การออกแบบโครงสร้างอาคาร ไม่ว่าจะเป็นอาคารสูง อาคารพาณิชย์ ศาสนสถาน หรืออาคารสาธารณะที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานจำนวนมาก ล้วนถูกกำหนดโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร รวมถึงกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อคำนึงถึงการต้านทานแรงแผ่นดินไหว เช่น การกำหนดน้ำหนัก ความต้านทาน และความคงทนของอาคาร รวมทั้งพื้นดินที่รองรับการสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว

การออกแบบอาคาร, อาคารต้านแผ่นดินไหว, โครงสร้างอาคาร,

วิธีการออกแบบและก่อสร้างอาคารให้ปลอดภัยจากแผ่นดินไหว

1. การเลือกวัสดุก่อสร้างที่เหมาะสม

การเลือกวัสดุก่อสร้างที่มีความยืดหยุ่นสูง เช่น เหล็กและคอนกรีตเสริมเหล็ก ถือเป็นส่วนสำคัญในการออกแบบอาคารให้ทนทานต่อแผ่นดินไหว วัสดุเหล่านี้สามารถยืดหยุ่นตามแรงสั่นสะเทือนและกระจายแรงกดดันจากแผ่นดินไหวได้ นอกจากนี้ วัสดุที่ช่วยลดแรงกระแทก เช่น แผ่นกันกระแทก หรือวัสดุดูดซับแรงสั่นสะเทือน ยังสามารถช่วยป้องกันความเสียหายต่อโครงสร้างอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. การออกแบบโครงสร้างที่ทนต่อแรงสั่นสะเทือน

การออกแบบโครงสร้างอาคารให้สามารถทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในกรณีที่อาคารนั้นตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวสูง เช่น ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่เคยรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวในครั้งนี้ การใช้เทคนิคการออกแบบที่กระจายแรงสั่นสะเทือน เช่น การใช้เสาและคานที่ยืดหยุ่น หรือการเพิ่มความแข็งแรงให้กับโครงสร้างอาคาร จะช่วยให้อาคารสามารถทนทานต่อแรงกระแทกจากแผ่นดินไหวได้มากขึ้น

3. ระบบป้องกันความเสียหายจากแผ่นดินไหว

การติดตั้งระบบลดแรงสั่นสะเทือน (Damping systems) สามารถช่วยป้องกันไม่ให้แรงสั่นสะเทือนทำลายโครงสร้างของอาคาร การใช้เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถลดความเสี่ยงของความเสียหายที่เกิดจากแผ่นดินไหว นอกจากนี้ การตรวจสอบและบำรุงรักษาโครงสร้างของอาคารให้พร้อมใช้งานตลอดเวลายังช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับอาคารในกรณีที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวขึ้น

แนวทางการปรับปรุงความปลอดภัย

นอกจากงานวิศวกรรมโครงสร้างแล้ว ยังมีมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและตกแต่งอาคารที่ควรทบทวน เช่น

  1. กระจกอาคาร ควรใช้กระจกลามิเนตสำหรับกระจกเปลือกอาคารเพื่อป้องกันการแตกกระจาย และไม่ใช้วัสดุกระจกบานเปลือยที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ
  2. สระว่ายน้ำ ควรมีราวกันตกสูงจากขอบสระอย่างน้อย 1.20 เมตร เพื่อลดอันตรายจากการตกจากอาคาร
  3. ผนังภายใน ควรหลีกเลี่ยงการกรุทับด้วยวัสดุตกแต่งที่ปกปิดความเสียหาย เช่น รอยแตก
  4. เฟอร์นิเจอร์หนัก ควรติดตั้งให้แน่นหนาเพื่อป้องกันการล้มลงจากแรงแผ่นดินไหว
  5. ระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ เช่น ประตูอาคาร ควรมีระบบที่เปิดค้างไว้ได้ในกรณีฉุกเฉิน

การออกแบบอาคาร, อาคารต้านแผ่นดินไหว, โครงสร้างอาคาร,

การเตรียมพร้อมของระบบต่าง ๆ

ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินจากแผ่นดินไหว ควรมี ระบบเตือนภัย และ พื้นที่หลบภัย ที่เหมาะสม โดยเฉพาะในอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่ ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถหลบภัยและรอการช่วยเหลือได้อย่างปลอดภัย

เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.4 ที่เกิดขึ้นในประเทศเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เป็นเครื่องเตือนใจถึงความสำคัญของ การออกแบบอาคาร ให้ปลอดภัยจากแผ่นดินไหว การเลือกวัสดุก่อสร้างที่เหมาะสม การออกแบบโครงสร้างที่ทนทานต่อแรงสั่นสะเทือน และการติดตั้งระบบป้องกันการสั่นสะเทือนเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงในทุก ๆ โครงการการก่อสร้าง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากแผ่นดินไหวและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้อาคาร